เพราะมนุษย์มิได้มีอวัยวะที่ช่วยให้เคลื่อนที่ใต้น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฟิน (fins) จึงเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดที่ทำให้นักดำน้ำอย่างเรา สามารถเคลื่อนที่ไปในน้ำได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว แหวกว่ายไปในที่ต่างๆ ได้อย่างใจต้องการ
ก่อนที่เราจะคุยกันถึงเรื่องวิธีการเลือกซื้อฟินฟรีไดฟ์ที่เหมาะกับเรา ก็ต้องมาศึกษาหาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับฟินฟรีไดฟ์กันเสียก่อน ในที่นี้เราได้รวบรวมข้อมูลสำคัญๆ ที่จำเป็นต่อการเลือกซื้อฟินฟรีไดฟ์มาให้แล้ว ได้แก่
- ชนิดของฟินฟรีไดฟ์ แยกตามวัสดุที่ใช้ทำใบฟิน (blade)
- ความอ่อนแข็งของใบฟิน
- เทคโนโลยีเสริมสมรรถนะ ของฟินแต่ละยี่ห้อ
ชนิดของฟินฟรีไดฟ์ แยกตามวัสดุที่ใช้ทำใบฟิน (Blade)
ใบฟิน เป็นส่วนที่กินน้ำ ผลักดันน้ำ และทำให้เกิดแรงขับเคลื่อนตัวนักดำน้ำไปในทิศทางต่างๆ ถือเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่บ่งชี้ประสิทธิภาพของฟิน และด้วยความที่ใบของฟินฟรีไดฟ์มีลักษณะยาวมาก จึงไม่สามารถออกแบบรูปร่างลักษณะพิเศษแบบ 3 มิติที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพได้มากนัก ทำได้เพียงเป็นแผ่นแบนราบ ยาวๆ เท่านั้น วัสดุที่ใช้ทำฟินจึงอิทธิพลต่อประสิทธิภาพของฟินมากที่สุด
วัสดุที่ใช้ทำใบฟินฟรีไดฟ์ส่วนใหญ่ มีอยู่ 3 ชนิด ได้แก่ พลาสติก, ไฟเบอร์กลาส (fiberglass), และคาร์บอนไฟเบอร์ (carbon fiber) กับที่เพิ่งมีการริเร่มใช้งานมากขึ้นเมื่อไม่นานนี้คือ ยาง และ ซิลิโคน
ใบฟินพลาสติก (Plastic Blade)
พลาสติก เป็นวัสดุพื้นฐานที่ใช้ทำใบฟินมาแต่ดั้งเดิม และก็ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน ด้วยจุดเด่นสำคัญคือ ราคาถูก เพราะมีต้นทุนต่ำ ทั้งในเรื่องราคาวัสดุและกรรมวิธีการผลิต ซึ่งก็สอดคล้องกับจุดอ่อนสำคัญ คือ มีน้ำหนักมาก เพราะต้องทำให้มีความหนาพอสมควรจึงจะไม่ฉีกขาดหรือแตกหักง่าย ส่วนประสิทธิภาพก็ถือว่าธรรมดาที่สุดในบรรดาวัสดุ 3 ชนิด
นอกจากนี้ ฟินแบบพลาสติก เมื่อใช้งานไปนาน จะเกิดการเปลี่ยนรูปตามการใช้งาน (บางคนจะเรียกว่า มีความจำ หรือ memory) ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพลดลงไป ซึ่งฟินจากไฟเบอร์กลาสและคาร์บอนไฟเบอร์ไม่มีอาการแบบนี้
ราคาของฟินแบบนี้อยู่ราว 3-6 พันบาทเท่านั้น
ใบฟินไฟเบอร์กลาส (Fiberglass Blade)
ไฟเบอร์กลาส คือ วัสดุผสมระหว่างพลาสติกชนิดต่างๆ เสริมแรงด้วยใยแก้ว (glass fiber) เพื่อช่วยให้วัสดุผลลัพธ์มีความยืดหยุ่นมากขึ้นกว่าพลาสติกเพียงอย่างเดียว สำหรับฟินฟรีไดฟ์มักจะใช้อีพ็อกซี่ (epoxy resin) เป็นวัสดุในส่วนของพลาสติก คุณสมบัติของใบฟินที่ได้คือ มีความยืดหยุ่น (resilient) มากขึ้น น้ำหนักเบาขึ้น โดยที่ยังได้ความเหนียว ทนทาน เหมือนพลาสติก สามารถใช้งานใกล้แนวหินหรือปะการังโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการแตกหัก
ราคาของฟินแบบนี้ อยู่ระหว่าง 7 พันถึง 1 หมื่นกว่าบาท
ใบฟินคาร์บอนไฟเบอร์ (Carbon Fiber Blade)
คาร์บอนไฟเบอร์ (carbon fiber) หรือ กราไฟต์ไฟเบอร์ (graphite fiber) เป็นวัสดุที่มีความแข็งแรง ทนทานต่อแรงดึง ความร้อน/เย็น และปฏิกิริยาเคมี และที่สำคัญคือมีน้ำหนักเบา ในขณะที่มีความยืดหยุ่นสูงมาก จึงเป็นวัสดุที่เหมาะกับกิจกรรมการดำน้ำมาก เพราะความยืดหยุ่นของใบฟินหมายถึง ความสามารถในการกักเก็บพลังงานในขณะถูกดัดโค้งงอและพยายามคืนสู่สภาพเดิมจนเปลี่ยนไปเป็นการผลักดันน้ำออกไป โดยไม่สูญเสียพลังงานไปกับเรื่องอื่นๆ ผลลัพธ์คือได้ฟินที่มีประสิทธิภาพสูง
อย่างไรก็ตาม ใบฟินคาร์บอนไฟเบอร์ไม่ได้ทำจากใยคาร์บอนล้วนๆ แต่เคลือบและแทรกด้วยอีพ็อกซี่ (epoxy resin) เป็นชั้นๆ สลับกับใยคาร์บอน โดยมีจำนวนชั้นและความหนาของใบฟิน รวมถึงการวางแนวของเส้นใย ตามแต่การออกแบบของแต่ละแบรนด์
จุดอ่อนของวัสดุชนิดนี้คือ มีราคาสูง และเปราะแตกง่าย หากโดนกระแทกอย่างแรงด้วยของแข็ง นักดำน้ำบางคนจึงเลือกใช้ฟินชนิดนี้ในทะเลเปิด (open water) เป็นหลัก ไม่เสี่ยงนำมาใช้ในบริเวณใกล้ชายฝั่งที่มีโอกาสกระทบกระทั่งกับก้อนหินหรือแนวปะการัง
ใบฟินชนิดนี้ บางครั้งก็เรียกว่า pure carbon ซึ่งหมายถึง เส้นใยหลักเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ล้วนๆ แต่ไม่ได้หมายถึงว่า ใช้คาร์บอนไฟเบอร์เท่านั้น (เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงจะมีราคาสูงมากๆ เลยทีเดียว)
ราคาของฟินแบบนี้ อยู่ราว 1.5 ถึง 3 หมื่นบาท
ใบฟินคาร์บอนคอมโพสิต (Carbon Composite Blade)
เนื่องจากใบฟินแบบ pure carbon มีความเปราะบางและมีราคาสูง จึงมีการนำวัสดุไฟเบอร์กลาสกับคาร์บอนไฟเบอร์มาใช้ร่วมกัน ทำเป็นฟินฟรีไดฟ์ขึ้นมา และเรียกวัสดุแบบนี้ว่า ไฟเบอร์คาร์บอน (fiber-carbon) หรือ คาร์บอนคอมโพสิต (carbon composite) ทำให้ได้จุดเด่นของทั้งสองวัสดุมาใช้งาน คือ มีความยืดหยุ่นสูงขึ้นกว่าไฟเบอร์กลาส และมีความเหนียวทนต่อการกระทบกระทั่งมากกว่าคาร์บอนไฟเบอร์ แต่ก็มีความหนาและน้ำหนักมากกว่า และแน่นอนว่าราคาก็ย่อมเยากว่าด้วยเช่นกัน
ใบฟินยาง (Rubber Blade)
ยาง เป็นวัสดุที่ใช้ทำฟินสำหรับ scuba diving หรือ snorkeling มานานแล้ว ทั้งใช้เป็นส่วนประกอบบางจุดของฟิน และเป็นฟินที่ทำจากยางล้วนๆ เลย แต่เพิ่งจะมีการนำมาทำเป็นฟินฟรีไดฟ์ เมื่อไม่นานนี้เอง
คุณสมบัติสำคัญของยาง ที่ทำให้เหมาะกับการทำเป็นใบฟิน ก็คือ มีความยืดหยุ่นสูง และสามารถหล่อเป็นฟินชิ้นเดียวสวมกับเท้าได้เลย (full-foot fins) ซึ่งก็มีความฝืดและความนุ่มเข้ากับเท้าได้เป็นอย่างดี แต่มีจุดอ่อนคือใบฟินต้องมีความหนาพอสมควรจึงจะใช้งานได้ ดังนั้นฟินชนิดนี้จึงมีนำ้หนักมากไปด้วย
ฟินฟรีไดฟ์แบบยางมีราคาราวหมื่นต้นถึงหมื่นกลาง มีทั้งแบบสั้น เอาไว้ฝึกในสระ เช่น … และแบบยาว เช่น Gull Barracuda, Problue F-795
ใบฟินซิลิโคน (Silicone Blade)
ซิลิโคน เป็นวัสดุที่มีความยืดหยุ่นสูง อ่อนนุ่ม เข้ากับเท้าได้ค่อนข้างดี ไม่ค่อยเสื่อมสภาพจากความร้อน อายุการใช้งานยาวนาน เป็นส่วนประกอบสำคัญในอุปกรณ์ดำน้ำที่ต้องสัมผัสร่างกายมนุษย์ เช่น หน้ากากดำน้ำและท่อสน็อคเกิล แต่ก็มีต้นทุนวัตถุดิบสูง โดยปกติจึงไม่มีใครผลิตฟินที่ทำจากซิลิโคนล้วนๆ
ล่าสุดนี้ แบรนด์ Molchanovs ได้ผลิตฟินรุ่นพิเศษเพื่อการฝึกหัดฟรีไดฟ์โดยเฉพาะ (training fins) คือรุ่น CORE ที่ทำจากซิลิโคนล้วนเป็นชิ้นเดียว เป็นฟินแบบสั้นไม่เหมือนกับที่นักดำน้ำฟรีไดฟ์ใช้กัน ซึ่งแม้จะมีราคาสูงกว่าฟินยางหรือพลาสติกทั่วไป แต่ก็ยังต่ำกว่าฟินไฟเบอร์กลาสหรือฟินคาร์บอนมาก เหมาะกับการใช้เป็นฟินฝึกหัดที่เราจะไม่ต้องกังวลกับการขูดขีดกระทบกระทั่งกับขอบสระหรือแนวหิน ไม่ต้องกังวลกับการแตกหักอย่างฟินคาร์บอนที่มีราคาสูง
แหล่งข้อมูล
ความอ่อนแข็ง (Stiffness) ของใบฟิน
นอกจากวัสดุที่ใช้ทำใบฟินจะแตกต่างกันแล้ว แม้ฟินรุ่นเดียวกัน ใช้วัสดุชนิดเดียวกัน ก็ยังมีการออกแบบให้มีความอ่อนแข็งแตกต่างกันด้วย เพื่อให้เหมาะกับกำลังและการใช้งานของนักดำน้ำแต่ละคน
โดยทั่วไป จะมีความแข็งให้เลือก 3 ระดับคือ อ่อน (soft), กลาง (medium) และแข็ง (hard) บางรุ่นอาจมีระดับอ่อนมาก (super soft) ให้เลือกอีกหนึ่งระดับ ฟินที่มีความแข็งมากจะสามารถส่งต่อพลังงานจากนักดำน้ำไปสู่น้ำได้มาก แต่ก็ต้องการกล้ามเนื้อที่แข็งแรงพอจะสร้างพลังงานด้วย นักดำน้ำแต่ละคนจะเหมาะกับฟินที่มีความแข็งระดับไหน ขึ้นอยู่กับทักษะการตีขา กำลังขาและกล้ามเนื้อของร่างกายส่วนล่าง รวมถึงน้ำหนักตัวของนักดำน้ำด้วย นอกจากนี้ยังมีความเข้าใจว่า เมื่อดำน้ำที่ความลึกมาก หรือมีกระแสน้ำแรง ก็ต้องการฟินที่แข็งมากขึ้นด้วย (ซึ่งยังเป็นเรื่องรอการถกเถียงหาหลักการมาอธิบายกันอยู่)
ฟินที่อ่อนเกินไป จะส่งพลังของเราออกไปได้ไม่เต็มที่ ทั้งยังทำให้เราต้องเคลื่อนไหวถี่กว่า แต่ฟินที่แข็งเกินไป จะทำให้ต้องใช้กล้ามเนื้อขามาก ใช้อ็อกซิเจนมาก และหากเกินกำลังของนักดำน้ำ ก็อาจทำให้เป็นตะคริวได้
สำหรับนักดำฟรีไดฟ์ทั่วไป ตั้งแต่มือใหม่จนถึงประสบการณ์สูง หากมีน้ำหนักตัวปกติ รูปร่างไม่อ้วนมากจริงๆ ฟินระดับ soft ก็เพียงพอสำหรับการดำฟรีไดฟ์ในทุกสถานการณ์ หรือหากมีน้ำหนักไม่เกิน 60 ก.ก. รูปร่างผอม และไม่ได้ต้องการความเร็วสูง อาจเหมาะกับฟินระดับ super soft หรือ extra soft มากที่สุด
แหล่งข้อมูล
- https://www.deeperblue.com/freediving-fins-easy-guide/
- https://www.freedivershop.com/freediving-fins-articles/choosing-fins-for-freediving-and-spearfishing
- https://www.freedivegreece.com/how-to-choose-the-right-bi-fin-blade-stiffness/
เทคโนโลยีเสริมสมรรถนะ ของฟินแต่ละยี่ห้อ
นอกจากคุณสมบัติพื้นฐานที่เหมือนๆ กันของฟินฟรีไดฟ์แล้ว ผู้ผลิตฟินแต่ละยี่ห้อยังพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพฟินของตนเองขึ้นมาด้วย ขอยกมาเล่าไว้ด้วยกันในที่นี้เลย
Dynamic Resonance System ของ Cetma Composites
เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงานของนักดำน้ำ โดยเมื่อนักดำน้ำตีฟินด้วยความถี่ที่เท่ากับหรือใกล้เคียงกับความถี่ธรรมชาติของใบฟิน (เรียกว่า การสั่นพ้อง หรือ resonance) จะทำให้ใบฟินเกิดการเคลื่อนที่ต่อเนื่องต่อไปได้โดยสูญเสียพลังงานไม่มาก ช่วยให้ประหยัดพลังงานของเราในการตีฟิน ซึ่ง Cetma Composites สร้างใบฟินให้มีคุณสมบัติแบบนี้ได้ โดยออกแบบการกระจายมวลและความแข็งของใบฟินในบริเวณต่างๆ ให้ทั้งใบมีความถี่ธรรมชาติใกล้เคียงกับความถี่ที่นักดำน้ำส่วนใหญ่ใช้ตีฟิน
แหล่งข้อมูล
เมื่อได้รู้จักกับคุณสมบัติของใบฟินที่ผลิตจากวัสดุคนละชนิด พร้อมทั้งคุณสมบัติพิเศษของฟินจากผู้ผลิตแต่ละรายแล้ว ทุกท่านก็คงพร้อมที่จะพิจารณาเลือกฟินฟรีไดฟ์ที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การใช้งาน และงบประมาณที่มีอยู่ ได้ง่ายขึ้นแล้ว