เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้มีโอกาสไปเรียนฟรีไดวิ่งมาครับ สนุก ตื่นเต้น และน่าสนใจ จนอดที่จะเอามาเล่าให้เพื่อนๆ นักดำน้ำแบบสกูบ้าได้รับทราบกันไม่ไหวเลย
อันที่จริง ผมก็ฟรีไดวิ่งมาก่อนที่จะมาดำน้ำแบบสกูบ้านี่อีกนะครับ แต่เป็นไปในลักษณะที่เขาเรียกกันว่า ฟรีไดวิ่งลูกทุ่ง น่ะครับ คือไม่รู้อะไรเลย ไม่มีเงินเลย มีหน้ากากกับฟิน (บวกฉมวกยิงปลาอีกอันหนึ่ง) ก็ดำมันไปเรื่อยเวลาไปเที่ยวตามเกาะแก่งต่างๆ หากหาปลาไม่ได้ก็อด อันนี้ ประมาณสามสิบปีที่ผ่านมาเห็นจะได้นะครับ
ความที่ชอบกีฬาทางน้ำ ฟรีไดวิ่งก็เลยเป็นอะไรที่อยากจะทำให้ได้ดี แต่ในขณะนั้นก็คิดว่าคงทำได้แค่นั้น ความสามารถของเราคงไม่ถึงที่จะพัฒนาให้ทำได้มากกว่าที่ทำได้อยู่ บวกกับในสมัยนั้น การดำน้ำก็เป็นอะไรที่มากเกินกว่าฐานะ (ต่อให้เป็นการดำแบบฟรีไดวิ่งก็เถอะ) เลยไปแข่งว่ายน้ำดีกว่าครับ
ไม่นานมานี้เอง ได้ข่าวจากเพื่อนว่ามีผู้สอนฟรีไดวิ่งจากประเทศฝรั่งเศสจะมาเปิดสอนในประเทศไทยเป็นเวลาประมาณหกเดือน ในหลักสูตรของ AIDA ซึ่งเป็นสถาบันฟรีไดวิ่งชั้นนำของโลก ทำการสอนที่เกาะลันตา ก็เลยรีบติดต่อไปครับ ครั้งแรกก็กังวลนะว่าครูจะสื่อสารกับเราได้หรือเปล่า สังขารของเราจะไหวหรือเปล่า จะหนีงานไปเรียนได้ยังไง ฯลฯ แต่ความอยากมันมีมากกว่าอุปสรรคครับ ก็เลยพยายามไปเรียนจนได้
ลางานไป เพื่อนร่วมงานก็รู้สึกตลกขบขัน (ปนสมเพช) นะครับ ว่าแก่ขนาดนี้แล้วยังจะซ่าอีก แต่พอดีการเรียนต่อเรื่องกีฬาทุกชนิด มันเป็นวิชาชีพ (เพราะเป็นครูสอนพละ) หัวหน้างานเลยอนุมัติให้ไปได้
ขับรถไปถึงเกาะลันตาตอนบ่ายๆ ครับ ไปนั่งคุยกับครู ดูท่าแล้วครูจะหล่อเกินเหตุไปหน่อย ทำให้รู้สึกสงสัยว่า ไอ้พวกนักฟรีไดวิ่งนี่มันต้องสวยหล่อกันแบบนี้หมด ถึงจะดำได้ดีหรือเปล่าหนอ เพราะเห็นในนิตยสารและรายการต่างๆ ก็เป็นอย่างนั้น หากเป็นเช่นนั้น ประเภทอ้วนล่ำดำแก่แบบผมสงสัยจะไม่มีอนาคต แต่หลังจากคุยกับครูแล้วก็อุ่นใจ แกบอกว่าต่อให้แก่และน่าเกลียดแค่ไหนก็พอจะเอาดีได้ครับ
อยากเห็นหน้าครูผม ก็เข้าไปในเว็บนี้แล้วกัน http://www.freedivecentral.com/f-francisco-gautier-2
เสร็จจากการสมัครเรียน ครูก็ให้งานกลับไปทำเลยครับ แกบอกว่าให้กินให้อิ่มและนอนให้มาก พรุ่งนี้เช้ามาเรียนกันที่ชายหาด ดูแล้วงานก็ง่ายพอสมควรนะครับ ผมก็ไปหาที่พักเพราะไปแบบไม่ได้ติดต่ออะไรเลย ก็หาโรงแรมริมถนนนอนครับ ง่ายๆ สบายดี
รุ่งเช้าก็ไปพบกับครู ทางร้านก็ขับรถไปที่ชายหาดอีกด้านหนึ่ง สวยมาก แต่จำชื่อไม่ได้แล้วครับว่าหาดอะไร เริ่มแรกก็เรียนเรื่องการเตรียมพร้อมร่างกายกันเลย ถึงก็เรียนเรื่องการเหยียดยืดกล้ามเนื้อ โยคะเล็กน้อย โดยเฉพาะเรื่องการเหยียดกล้ามเนื้อส่วนที่เป็นช่วงอกเพื่อให้ปอดสามารถขยายตัวได้มากขึ้น
จากนั้นก็เรียนเรื่องการหายใจ ก็น่าแปลกใจที่เทคนิคการทำ Hyperventilation แบบที่เรียนมาในหลักสูตรการดำน้ำแบบสกูบ้านั้น นำมาใช้กับฟรีไดวิ่งไม่ได้เด็ดขาด เพราะอาจจะตายไม่รู้ตัว การหายใจแบบนักฟรีไดวิ่งจริงๆ นั้น ต้องใช้วิธีการเอาอากาศเข้าไปให้มากที่สุด และใช้พลังงานอย่างประหยัดที่สุด มากกว่าที่จะหลอกระบบของร่างกายว่ามีคาร์บอนไดออกไซด์น้อย แล้วจะได้ไม่อยากหายใจแบบการทำไฮเปอร์เวนทิเลชั่นครับ
แค่เรื่องแรกนี้ ผมก็รู้สึกแล้วครับว่าโชคดีที่ยอมเสียเงินมาเรียน หากไปดำเล่นเองคงไม่รู้เรื่อง
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องความปลอดภัยอื่นๆ ที่ครูสอนให้รู้ก่อนอีกหลายจุด ในการเรียนฟรีได้วิ่ง ระดับหนึ่งดาวนี่นะครับ
อันดับแรกเลย ก็คือ ไม่ให้ดำน้ำคนเดียวโดยเด็ดขาด ต้องมีบัดดี้ ซึ่งจะดำพร้อมเราก็ไม่ได้ด้วยนะครับ ต้องคนหนึ่งดำลงไป ขณะที่อีกคนอยู่บนผิวน้ำคอยมองดู เพื่อคอยช่วยเหลือหากเกิดอาการหมดสติเนื่องจากระดับความดันโลหิตต่ำ (อันเกิดจาก วิธีการหายใจ และการเลื่อนไหลของเลือดในร่างกายของนักดำ) หรือจาก Shallow Water Blackout (SWB)
ครูเน้นเรื่องการจมลอย ว่าต้องให้ตัวลอยนิดๆ บนผิวน้ำ เวลาดำลงไปลึกๆ ตัวจะได้ไม่จมมากเกินไป ถึงแม้ว่าเราต้องการจะให้จมได้บ้างเพื่อประหยัดพลังงานในการเดินทางลงไปในที่ลึกก็ตามทีครับ แต่วันที่เรียนกันจริงๆ ก็ทำไม่ได้เท่าไรเพราะไม่ได้ใส่เวทสูท เครื่องแบบนักเรียนเป็นกางเกงว่ายน้ำตัวเดียว หน้ากากเดิมๆ (ถึงแม้ต่อไปจะต้องเปลี่ยนให้ Low Volume กว่านี้) ฟินอันเดิม (ซึ่งก็ต้องเปลี่ยนเหมือนกันแต่ยังไม่มีตังค์) ตัวผมก็เลยจมถึงแม้จะอยู่ที่ผิวน้ำ
น่าแปลกใจเหมือนกันที่ครูบอกว่าสนอร์เกิ้ลนั้นให้ใช้ได้ แต่ไม่ให้ติดกับหน้ากาก ให้ถือเอาไว้ แล้วใช้หายใจเตรียมตัวลง เมื่อจะมุดลงน้ำ ให้ส่งสนอร์เกิ้ลให้เพื่อนแล้วก็ดำลงไป ไม่ต้องคาบลงไปด้วย เนื่องจากเหตุผลสองประการ คือหนึ่ง มันต้านน้ำทำให้ดำลงยากกว่าเดิม การดำน้ำแบบนี้ การทำตัวให้ลู่น้ำสำคัญมาก ประการที่สองคือ การคาบสนอร์เกิ้ลขณะฟรีไดวิ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ทำกัน เพราะมันจะทำให้เราอยากหายใจก่อนเวลาครับ
นอกจากนั้น สัญญาณโอเคที่เราใช้กันก็ใช้ไม่ได้ในการดำน้ำฟรีไดวิ่งนะครับ เขาให้ใช้การพูดเลย เช่น เมื่อนักดำขึ้นมาถึงผิวน้ำใหม่ๆ นี่ เขาให้บัดดี้อยู่ในระยะมือเอื้อมถึง ให้นักดำน้ำเกาะทุ่นแล้วหายใจหลายๆ ครั้งจนเป็นปกติแล้ว จึงถามว่าโอเคหรือเปล่า หากใช้สัญญาณมือแบบพวกเรา ส่วนมากจะไม่ได้สื่อสารกันจริงๆ เพราะมีหลายคนที่ตอบโอเคเป็นสัญญาณมือแล้ว ก็หมดสติไปหนึ่งหรือสองวินาทีหลังจากนั้นครับ
แค่ชั่วโมงแรกก็มีอะไรใหม่ๆ เยอะแยะไปหมดครับ
เขียนโดย | ดร. พิชิต เมืองนาโพธิ์ |
---|---|
เผยแพร่ครั้งแรก | 9 ก.ย. 2546 |