หลังจากผ่านมติคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ในวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ให้สัตว์น้ำ 4 ชนิด ได้แก่ 1. วาฬบรูด้า (Bryde’s whale) 2. วาฬโอมูระ (Omura’s whale) 3.ฉลามวาฬ (Whale Shark) 4. เต่ามะเฟือง (Leatherback turtle) เป็นสัตว์ป่าสงวน มาแล้ว เมื่อวานนี้ ราชกิจจานุเษกษา ได้ประกาศ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ฉบับใหม่ บรรจุสัตว์ทะเลทั้ง 4 ชนิดเป็นสัตว์ป่าสงวนเรียบร้อยแล้ว นับเป็นการประกาศรายช่อสัตว์ป่าสงวนเพิ่มเป็นครั้งแรกในรอบ 27 ปี ทำให้ปัจจุบันนี้ ไทยมีสัตว์ป่าสงวนรวมทั้งสิ้น 19 ชนิดแล้ว
เรามารู้จักสัตว์น้ำที่เพิ่มขึ้นใหม่ทั้ง 4 ชนิดกันเถอะ
1. วาฬบรูด้า (Bryde’s whale)
ชื่อของมันถูกตั้งให้ผู้ค้นพบมันเป็นคนแรก คือโยฮัน บรูด้า ในปี ค.ศ. 1909 มันถูกจัดว่าเป็นชนิดหนึ่งของวาฬไม่มีฟัน (Baleen Whale) ขนาดใหญ่ที่อาศัยอยู่ในเขตร้อน มักอาศัยอยู่ในทะเลที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 16 องศาเซลเซียส เช่นในทะเลของประเทศไทย โดยในไทยพบว่ามีวาฬบรูด้าอยู่ประมาณ 20 – 25 ตัว โดยพบห่างจากชายฝั่ง 4 – 30 กิโลเมตรของทะเลอ่าวไทย
วาฬบรูด้ามีรูปร่างเรียวสีเทาอมฟ้า มีครีบหลังเป็นรูปเคียวโค้งไปทางด้านหลังของลำตัว มีรอยจีบใต้ลำคอขนานกับลำตัวประมาณ 40 – 70 รอย ความยาวสูงสุดของตัวผู้โตเต็มวัยอยู่ที่ 15 เมตร ตัวเมียอยู่ที่ 16.5 เมตร และน้ำหนักสูงสุดอยู่ที่ 40 ตัน แต่ถึงแบบนั้นอาหารของมันกลับมีขนาดเล็ก คือแพลงก์ตอนของสัตว์จำพวกกุ้ง หมึกกระดอง และฝูงปลาขนาดเล็ก มันมักจะหากินเพียงลำพัง ยกเว้นวาฬเด็กที่ออกหากินกับแม่ โดยวิธีการกินอาหารของมันนั้นจะใช้ซี่กรองขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายตะแกรงที่อยู่บริเวณขากรรไกรบนของมัน กรองสัตว์ขนาดเล็กๆ เป็นอาหาร โดยวาฬบรูด้าเต็มวัยหนึ่งตัวอาจกินอาหารถึง 590 กิโลกรัมต่อวัน
ปัจจุบันพวกมันถูกคุกคามจากมนุษย์จนมีจำนวนลดลงอย่างมาก เนื่องจากปลาและกุ้งขนาดเล็กซึ่งเป็นอาหารของมันมีจำนวนลดลงเพราะมนุษย์ และมนุษย์ยังปล่อยมลพิษทางน้ำ และมลพิษทางเสียงจากการเดินเรือยนต์ บางครั้งมันยังได้รับอุบัติเหตุจากอวนของชาวประมง หรือการขับเรือชนโดยมิได้ตั้งใจอีกด้วย
2. วาฬโอมูระ (Omura’s whale)
เป็นวาฬสายพันธุ์หายากที่มีความใกล้เคียงกับวาฬบรูด้า ถูกค้นพบครั้งแรกจากซากของมันในปี ค.ศ. 2003 และเมื่อพิจาณาจากซากแล้วจึงพบว่ามีความต่างจากวาฬบรูด้า กล่าวคือวาฬโอมูระนั้นมีขนาดเล็กกว่า ตัวผู้ที่โตเต็มวัยยาวเพียง 10 เมตร ตัวเมียยาวเพียง 11.5 เมตร รอยจีบใต้ลำคอมีจำนวนมากกว่า คือ 80 – 90 รอยจีบ และมีครีบหลังที่สูงกว่าและมีความโค้งน้อยกว่าของวาฬบรูด้า
ความหายากของมันทำให้ไม่ทราบพฤติกรรมชัดเจน และข้อมูลที่อยู่อาศัยของมันในทะเลทั่วโลกยังคงเป็นปริศนา
3. ฉลามวาฬ (Whale Shark)
เป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มันเป็นปลากระดูกอ่อนเหมือนปลาฉลามชนิดอื่น มักอาศัยในทะเลที่น้ำมีอุณหภูมิ 18–30 องศาเซลเซียส ลำตัวของมันมีมีสีเทา มีลายจุดสีขาวและสีเหลืองอ่อนตามตัว ความยาวของวัยตัวโตเต็มวัยอยู่ที่ 5.5–10 เมตร แต่อาจยาวได้ถึง 12 เมตร และอาจหนักได้ถึง 20 ตัน ถึงแบบนั้นมันก็ยังกินแพลงก์ตอนเป็นอาหารด้วยวิธีการกรองกินเช่นเดียวกับวาฬบรูด้า
ฉลามวาฬใช้เหงือกในการหายใจ ต่างจากวาฬที่ใช้ปอด จึงไม่จำเป็นต้องโผล่มายังผิวน้ำเพื่อหายใจ ทำให้พบมันในทะเลลึก แต่มักอยู่ตามแนวปะการังในความลึกไม่เกิน 700 เมตร เหงือกของพวกมันมีช่องเหงือกห้าช่อง ซึ่งแต่ละตัวจะมีลักษณะจุดและลวดลายหลังจากเหงือกช่องที่ห้าแตกต่างกัน ทำให้สามารถจำแนกลักษณะเฉพาะตัวได้ พวกมันหนึ่งตัวอาจมีอายุยืนถึง 70 ปี แต่อายุมากกว่า 30 ปีแล้วก็มักจะไม่ผสมพันธุ์กับตัวอื่นอีก
ฉลามวาฬไม่เป็นภัยต่อมนุษย์เช่นเดียวกับวาฬบรูด้า แต่กำลังประสบปัญหาคุกคามจากมนุษย์ทั้งการลดจำนวนลงของแพลงก์ตอน และมลพิษกับอุบัติเหตุจากเรือยนต์เช่นเดียวกัน แต่ฉลามวาฬจะพบการคุกคามที่รุนแรงกว่า คือการล่าพวกมันเพื่อตัดครีบที่เรียกว่า “หูฉลาม”
4. เต่ามะเฟือง (Leatherback turtle)
เป็นเต่าทะเลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โตเต็มวัยยาวได้ถึง 2 เมตร เอกลักษณ์คือ กระดองมีลักษณะเหมือนผลมะเฟือง ไม่สามารถหดตัวเข้าไปในกระดองได้ และกระดองของมันไม่แข็งเหมือนเต่าชนิดอื่น แต่มีความยืดหยุ่นเหมือนยาง
เต่ามะเฟืองสามารถดำน้ำได้ลึกถึง 1,280 เมตร และดำได้นานถึง 85 นาที มันกินแมงกะพรุน แพลงก์ตอน และสาหร่ายเป็นอาหาร ถึงแบบนั้นก็ต้องขึ้นมาหายใจและวางไข่บนบก โดยวางไข่ประมาณ 80 ฟอง
ปัจจุบันเต่ามะเฟืองมีจำนวนลดลงอย่างรวดเร็ว จากการเก็บไข่เต่าที่พวกมันขึ้นมาวางไว้บนบก รวมถึงการกินถุงพลาสติกที่ถูกทิ้งในทะเลเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นแมงกะพรุน