Shark Awareness Day - WildAid - 210715

วันรู้จักฉลาม ผู้เชี่ยวชาญแนะแนวทางคุ้มครองฉลามไทย

องค์กรไวล์ดเอด จัดเสวนาออนไลน์ในหัวข้อ ‘หากทะเลไร้ฉลาม’ เนื่องในวันรู้จักฉลาม หรือ Shark Awareness Day ซึ่งตรงกับวันที่ 14 กรกฎาคมของทุกปี พูดคุยกับนักวิชาการ และผู้ที่ทำงานศึกษาวิจัยเกี่ยวกับฉลามในไทย เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจถึงความสำคัญของฉลามและแนวทางคุ้มครองฉลามในน่านน้ำไทย โดยผู้ร่วมเสวนาเห็นร่วมกันว่า ควรผลักดันการขยายพื้นที่คุ้มครองทางทะเล จำกัดการใช้เครื่องมือประมงบางชนิด สนับสนุนให้ชาวประมงมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ฉลาม ตลอดจนสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับฉลามให้แก่คนทั่วไปอย่างต่อเนื่อง

คุณทัศพล กระจ่างดารา นักวิชาการประมงชำนาญการพิเศษ ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงทะเลภูเก็ต กรมประมง เล่าถึงภาพรวมฉลามในน่านน้ำไทยว่า ประเทศไทยไม่ได้มีการทำประมงฉลามโดยตรง เนื่องจากฉลามไม่ใช่สัตว์น้ำเป้าหมาย และจัดเป็นสัตว์น้ำพลอยจับได้ (by-catch) โดยมีสัดส่วนน้อยกว่าร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับผลจับสัตว์น้ำทั้งหมดที่ได้จากการประมง และส่วนใหญ่ถูกจับได้โดยเครื่องมืออวนลาก โดยเฉพาะอวนลากแผ่นตะเฆ่ แต่ไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ใช้ประโยชน์จากฉลามหลากหลาย ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากครีบเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้ปริมาณการจับฉลามมีแนวโน้มที่ลดลงเรื่อยๆ ช่วง 14 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา พบว่าปริมาณการจับฉลามต่ำกว่าค่าผลผลิตสูงสุดที่ยั่งยืน (MSY) จึงเป็นที่น่ากังวลว่า ฉลามในน่านน้ำไทยถูกจับจนเกินกำลังการผลิตตามธรรมชาติ โดยไทยมีแผนปฏิบัติการแห่งชาติเพื่อการอนุรักษ์และบริหารจัดการฉลาม 2020-2024 (NPOA-Sharks) ซึ่งเตรียมเริ่มปฏิบัติตามแผน แต่ขณะนี้ต้องชะลอออกไปเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19

ดร.เพชร มโนปวิตร นักวิทยาศาสตร์ด้านการอนุรักษ์ บอกว่า ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากฉลามหายไปจากทะเล มีการศึกษาในต่างประเทศค่อนข้างมาก การที่ฉลามเหลือน้อยลงในบางพื้นที่ นำมาซึ่งการสูญพันธุ์ของสัตว์กลุ่มรองๆ และจะกระทบถึงความสมบูรณ์ของปะการัง การฟื้นฟูระบบนิเวศต้องอาศัยห่วงโซ่อาหารที่มีครบ ดังนั้นฉลามซึ่งเป็นสัตว์ผู้ล่าที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะช่วยให้ระบบนิเวศทำงานได้ตามปกติ ขณะนี้ทะเลไทยกำลังเกิดภาวะ Empty Ocean ซึ่งเป็นภาวะที่สัตว์ที่ควรทำหน้าที่ให้ระบบนิเวศมันทำงานได้ตามปกติ กลับหายไปอย่างรวดเร็ว เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความรุนแรงของปัญหาการจับปลาในอัตราที่มากเกินไป

ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บอกว่าแนวทางการอนุรักษ์ฉลาม มีองค์ประกอบ 3 ข้อ นั่นคือ

  1. การรณรงค์ให้คนทั่วไปเห็นความสำคัญของฉลามและเลิกบริโภคผลิตภัณฑ์จากฉลาม
  2. การให้ความรู้ความเข้าใจกับชาวประมง
  3. การคุ้มครองฉลามที่เสี่ยงสูญพันธุ์เป็นรายชนิด

ซึ่งล่าสุดคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติเห็นชอบให้ฉลามหัวค้อน เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองแล้ว แต่ฉลามเสือดาวตกไปอย่างน่าเสียดาย จึงต้องพยายามผลักดันต่อ และแนวทางสุดท้ายก็คือ การเพิ่มพื้นที่คุ้มครองทางทะเล (MPA) ไทยต้องมีพื้นที่คุ้มครองทางทะเล 10% ของพื้นที่ทางทะเลและชายฝั่งภายในปี 2030 ซึ่งรูปแบบหนึ่งก็คือ พื้นที่คุ้มครองสัตว์ทะเลหายากไม่ใช่เฉพาะฉลาม แต่ในพื้นที่ที่มีความสำคัญต่อฉลามที่กำลังผลักดันอยู่ อาจต้องยกเว้นเครื่องมือประมงบางประเภท เท่าที่ภาครัฐสามารถตรวจตราและบังคับใช้กฎหมายได้ เพื่อลดการจับฉลามเป็นสัตว์น้ำที่ติดโดยบังเอิญ

ดร.เพชร เห็นตรงกันว่า แนวทางลดปัญหาฉลามที่ถูกจับเป็นสัตว์น้ำพลอยได้ คือ การขยายเขตพื้นที่คุ้มครองทางทะเล โดยเฉพาะพื้นที่คุ้มครองฉลามหรือกระเบนโดยตรง ฉลามหลายชนิดที่เป็นฉลามประจำถิ่นอย่างฉลามเสือดาว สามารถยกขึ้นมาเป็นชนิดเป้าหมายในการจัดการพื้นที่ได้ รวมถึงพื้นที่ที่ฉลามใช้เป็นที่ขยายพันธุ์และแหล่งอาศัยของลูกฉลาม นอกจากนี้ควรพิจารณาพื้นที่ที่มีสัดส่วนฉลามที่ถูกจับเป็นสัตว์น้ำพลอยได้เป็นปริมาณมาก เพื่อกำหนดให้พื้นที่นั้นเป็นเขตห้ามใช้เครื่องมือประมงอวนลาก แนวทางเหล่านี้ จะทำให้การอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเดินร่วมกันได้

คุณศิรชัย อรุณรักษ์ติชัย ช่างภาพสารคดีเพื่อการอนุรักษ์ และนักวิจัยฉลาม บอกว่า เรายังขาดองค์ความรู้และงานวิจัยอีกมากเกี่ยวกับฉลามในไทย เช่น ฉลามและกระเบนชนิดพันธุ์ใหม่ๆ ที่ยังพบเรื่อยๆ การเก็บข้อมูลด้านประชากรฉลามเป็นความท้าทายอย่างมาก เช่น การเก็บข้อมูลที่แพปลาไม่สามารถทำได้ง่ายเหมือนแต่ก่อน ข้อมูลหลายๆ อย่างต้องอาศัยซากฉลาม ซึ่งหากตัวอย่างไม่เพียงพอก็ไม่สามารถทำได้ เรื่องการกำหนดพื้นที่คุ้มครอง ต้องอาศัยความร่วมมือกับชาวประมงในการเก็บข้อมูล เพราะพวกเขามีข้อมูลและประสบการณ์ที่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบันได้มาก การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชาวประมง จะช่วยเพิ่มองค์ความรู้ด้านฉลามได้อีกมาก

องค์กรไวล์ดเอด เตรียมดำเนินกิจกรรมเพื่อให้คนไทยรู้จักฉลามในน่านน้ำไทยให้มากยิ่งขึ้น และสร้างความรู้ความเข้าใจถึงความสำคัญของฉลามที่มีต่อทะเลอย่างต่อเนื่อง และตราบใดที่เรายังไม่สามารถรู้แหล่งที่มาของครีบฉลามในถ้วยซุป คุณก็มีโอกาสบริโภคฉลามที่กำลังเสี่ยงสูญพันธุ์หรือมาจากแหล่งประมงที่ไม่ยั่งยืนได้ การงดบริโภคผลิตภัณฑ์จากฉลามทุกชนิดจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้ง่ายที่สุดเพื่อปกป้องพวกมัน

หยุดกินหูฉลามเท่ากับหยุดฆ่า

บทความจาก Facebook: WildAid Thailand ช่วยสัตว์ป่า